เจาะลึก Ableton Live10 (Echo)
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้ง กับการเจาะลึกอุปกรณ์ใหม่ล่าสุด แต่ละตัวใน Ableton Live 10 วันนี้เราไปทำความรู้จักกับ Audio Effect ที่น่าสนใจมากๆอีกตัวคือ นั้นคือ Echo หรือก็คือ Delay Effect ตัวล่าสุดที่ผสมผสานระหว่างเอฟเฟกแบบ อนาล็อคและดิจิตอล เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ไปชมรายละเอียดภายในตัวอุปกรณ์ชิ้นนี้พร้อมกันเลยครับ
The Echo Effect
Echo คือตัว modulation delay effect โดยให้เราสามารถควบคุมค่า Timeของ Delay 2ตัว ได้อย่างอิสระ โดยมีคาแรกเตอร์ในแบบอนาล็อกและดิจิตอลอย่างครบถ้วน รวมทั้งยังมาพร้อมฟังชั่นสำหรับ Modulate ที่จะช่วยเพิ่มการดีไซน์ เสียงจากการควบคุมตัว Filter ที่ให้มา 2ตัว คือ Low Pass Filter และ Hi Pass Filter รวมทั้งยัง Modulation ค่า Time ของตัว Delay ได้อีกด้วย ที่สำคัญยังมาพร้อมเอฟเฟก Reverb ในตัว มาดูกันเต็มๆเลยว่า อุปกรณ์บนตัว Echo นั้นมีอะไรกันบ้าง
The Echo Channel Mode
มาเริ่มแรกด้วยตัว Channel Mode ท่ีมีให้เลือกปรับ 3รูปแบบ นั้นคือ Streo, Ping-Pong และ Mid Side
และต่อมาคือปุ่มหมุ่นค่า Time ของ Delay ฝั่ง Left(ซ้าย) และ Right(ขวา) โดยปุ่มหมุ่นปรับค่าซ้ายกับขวานั้น เมื่อเราเปลี่ยน “Channel Mode” เป็น Mode “Mid Side” ปุ่มทั้ง2อัน จะถูกเปลี่ยนเป็นปุ่มปรับค่า Mid กับค่า Side ทันที
The Echo Delay Time Panel
เราจะสามารถเลือกเปิดปุ่ม Sync เพื่อเลือกปรับค่าบีท อัตโนมัติตามความเร็วของเพลง หรือเปลี่ยนเป็นค่า Time เพื่อกำหนดเวลาแบบอนาล็อกเองก็ได้ โดยทั้ง Left กับ Right สามารถเลือกปรับได้อย่างอิสระ กรณีที่เปิดใช้งานปุ่ม Stereo Link ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างปุ่ม Left กับ Right ทั้งสองฝั่งเวลาปรับค่า Time จะเท่ากันทั้งหมด
Input คือปุ่มปรับค่า Gain ของสัญญาณ Input ที่วิ่งเข้ามาใน เอฟเฟก โดยจะมีตัว อักษร D หรือ Distortion สำหรับใครที่ต้องการใส่ Distortion เข้าไปในสัญญาณ Dry ที่วิ่งเข้ามาในเอฟเฟก
Feedback คือตัวปรับค่าสัญญาณว่าต้องการให้ดีเลย์เล่น ซ้ำยาวแค่ไหน โดยมี Ø เพื่อ Inverse สัญญาณเสียงของซ้ายและขวา ก่อนที่จะถูกยิงกลับมาที่ Input อีกที
มาดูในส่วนถัดไปคือฟังชั่นตัวเลือกของหน้าปรับแต่งและแสดงผลในส่วนกลาง โดยมีให้เลือกถึง 3โหมดด้วยกัน
Echo’s Tunnel Visualization.
Echo Tab คือหน้าแสดงผลและปรับแต่ง ค่า Time ของ Delay รวมทั้งอุปกรณ์ควบคุมการปรับแต่งค่า Filter
โดยจะแสดงผลค่าเสียงที่เล่นซ้ำ เป็นเส้นจากแรกคือด้านโค้งนอกสุดเข้าหาด้านในสุด โดยจะมี จุดสีขาวตรงกลางที่ฟิกค่าแสดงผลที่ 1/8th Note เพื่อเป็นตัวอย่าง และเรายังสามารถปรับแต่ง Time ของ Delay โดยการลากที่บนเส้นเหลือง ได้เลย
Echo’s Filter.
ในส่วนควบคุมด้านล่าง จะเป็นตัวควบคุมค่า Filter โดยจะให้มา 2ตัว ทำงานได้พร้อมกันเลย คือ Low Pass Filter กับ Hi Pass Filter โดยที่หน้าจอจะแสดงผล Filter Curve ที่เราปรับ รวมทั้งสามารถปรับแต่งค่า Filter ได้โดยตรง จากตรงนี้ด้วย
Echo’s Modulation Tab.
Modulation Tab จะมีอุปกรณ์ LFO (Low Frequency Oscillator) สำหรับ Modulate ค่า Filter และค่า Delay Time และยังมีตัวเลือกสัดส่วนของ Envelope ที่เราจะให้ค่า LFO มีผลต่อค่า Filter และ Delay Time มากน้อยเท่าไหรอีกด้วย ที่สำคัญเรายังสามารถเลือกรูปแบบ ของ Waveform ที่จะมา Modulation ค่าต่างๆ ถึง 6 แบบ ด้วยกัน โดยมีให้เลือกเป็น
Sine
Triangle
Saw-tooth up
Saw-tooth Down
Square
Noise
ในส่วนค่าอุปกรณ์ต่างๆ บนแผงควบคุม จะมีอุปกรณ์ต่างๆดังนี้
Sync เมื่อกดเปิดใช้ Mode Sync ค่าดีเลย์จะทำการเล่นตามความเร็ว ตามค่าTempoโปรเจค แต่ถ้าเมื่อปิดใช้งาน ระบบจะให้เราปรับค่าด้วยค่า Hertz
Phase สำหรับแต่งค่า Waveform ของเสียงฝั่งซ้ายและฝั่งขวา
Mod Delay สำหรับค่าเปอร์เซน ที่LFO จะมีผลกับค่า Delay Time
Mod Filter สำหรับค่าเปอร์เซน ที่LFO จะมีผลกับค่า Filter
Env Mix สำหรับให้ค่า Modulation Oscillator และEnvelope Follower นั้นปรับและเกลี่ยเข้าหากัน
Echo’s Character Tab.
Character Tab จะรวบรวม อุปกรณ์ควบคุมที่ไว้สำหรับปรับแต่ง ค่าน้ำหนักเสียง และทำให้เสียงนั้นดูไม่เนี๊ยบจนเกินไป เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้เสียงที่เราดีไซน์ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยแบ่งหมวดควบคุม ที่แตกต่างกัน 4รูปแบบ นั้นคือ
Gate เป็นอุปกรณ์ที่จะปิดเสียงที่ต่ำกว่าความดังที่ตัว threshold ตั้งเอาไว้ไม่ให้เล่นออกมา ส่วน Release สำหรับตั้งค่าเวลา ว่าเมื่อไรตัว Gate จะหยุดทำงานเมื่อสัญญาณเสียงลดลงไปแล้ว
Ducking เมื่อเปิดใช้งานตัว Ducking สัญญาณเสียงจากเอฟเฟกจะทำการปรับลดสัดส่วนของสัญญาณตามค่า Input และตัว Ducking จะทำงานต่อเมื่อสัญญาณความดังของเสียงนั้น ดังเกินกว่าค่าที่ตั้งไว้ที่ Threshold โดยมีตัว Release จะใช้สำหรับสำหรับตั้งค่าเวลา ว่าเมื่อไรตัว Ducking นั้นจะหยุดทำงาน เมื่อสัญญาณเสียงลดลงต่ำกว่าตัว threshold ที่กำหนด
Noise จะใช้สำหรับการใส่เสียง Noise เข้าไปเพื่อจำลอง คาแรคเตอร์ของอุปกรณ์ Vintage Equipment ต่างๆ โดยเราสามารถใช้ตัว Amount เพื่อปรับค่าที่เราต้องการจะใส่เสียง Noiseเข้าไป รวมทั้งฟังชั่น Morph เพื่อเลือกคาแรคเตอร์ให้กับเสียง Noise
Wobble เป็นเอฟเฟกที่จะใส่การปรับแต่งค่า Delay Time แบบไม่ปรกติ เพื่อจำลองเสียงแบบ Tape Delay โดยเราสามารถปรับความมากน้อยของผลจากค่าเอฟเฟกที่ Amount และเลือกคาแรกเตอร์จากตัว Wobble ที่แตกต่างกันได้ โดยปรับที่ Morph
Echo’s Grobal Control.
Grobal Control คือส่วนปรับแต่งสุดท้ายของอุปกรณ์ตัวนี้ โดยแบ่งเป็นอุปกรณ์ควบคุมต่างๆดังนี้
Reverb สำหรับปรับค่า สัดส่วนของ เอฟเฟก Reverb ที่เราจะใส่เข้ามา โดยมีช่องด้านล่าง ให้เลือกปรับว่าต้องการจะใส่เอฟเฟก Reverb ลงในกระบวนช่วงไหนของตัว Echo โดยมีให้เลือกเป็น
Pre สัญญาณแรกก่อนจะผ่านเข้ามาบนตัว Echo
Post หลังจากผ่านเข้ามาในตัว Echo และหลังจากผ่าน ตัว Delay และเอฟเฟกต่างๆบน Echo
Feed Back คือหลังจากที่สัญญาณผ่านอุปกรณ์ทุกตัวบน Echo และวนกลับเข้ามาที่เอฟเฟกอีกครั้ง
Streo สำหรับค่าความกว้างแคบของเสียง โดยถ้าเซ็ตที่ 0% เสียงจะเป็น Mono และถ้าปรับค่ามากกว่า 100% ขึ้นไป เสียงจะเป็นแบบ Streo แบบกว้างมาก
Output ค่าความดังสุดท้ายของเสียงจาก หลังจากผ่านอุปกรณ์ทั้งหมดบนตัว Echo
Dry/Wet สำหรับปรับค่าบาล้านระหว่างสัญญาณ Dryและ Wet โดยแนะนำให้เปิดไว้ 100% เมื่อนำไปใช้งานในกับ Return Track
และนี้คือทั้งหมด ของอุปกรณ์บนเจ้าตัว Echo โดยอาจจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมมากขึ้นก็ได้ ถ้า Ableton Live10 ออกวางจำหน่ายจริงอีกครั้ง แต่แค่เพียงเท่านี้ ผมว่าหลายท่านน่าจะอยากหามาเล่นกันแล้วนะครับ สำหรับผม เจ้านี้ช่วยให้ผมไม่ต้องวุ่ยวายกับการโยนเอฟเฟกหลายๆตัว เพื่อปรับบาล้านเสียง พร้อมกัน เพราะมันมีตัวเดียวครบเลย ทั้ง Filter, Delay, Reverb, รวมทั้ง Ping-Pong Delay ตัวเดียวครบครันเลย ยังไงก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และอย่าลืมกลับมาอ่านอีกครั้ง เพื่อช่วยให้คุณสามารถใช้งาน Ableton Live10 ได้สนุกขึ้น และเป็นส่วนช่วยให้ทุกท่านได้ตัดสิ้นใจ หา Ableton Live10 มาลองใช้กันดู ในช่วงต้นปีหน้า เมื่อเริ่มจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการครับ ขอบคุณครับ
ABLETON CERTIFIED TRAINER
TOSSAWAT CHOTIVONG
16/12/2017