Pet Shop Boys (เพตชอปบอยส์) คู่หูขาแดนซ์ในตำนาน จากประเทศอังกฤษ
ดูโอคู่นี้เป็นเหมือนตัวแทนของยุค Post-Modern(ยุคคิดต่าง..ค้านหลักสากลนิยม)..พวกเขาเป็นสัญลักษณ์ในยุคเฟื่องฟูดนตรี แนว Melodicสวยๆ และSynth-Pop โรแมนติก..และสิ่งที่ทำให้ Pet Shop Boys โดดเด่นที่สุดในสายตาของนักวิจารณ์ดนตรีในยุคนั้นคือ ความฉลาดและค่อนข้างกล้าที่จะฉีกแนวดนตรี..ใส่ความสนุก..สดใหม่..และทะเล้น(แบบยุคนั้น)ผสมเข้าด้วยกัน บวกความมันส์ที่ให้แฟนเพลงเต้นได้อย่างสุดเหวี่ยงมากขึ้น!! ซึ่งจะเรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกวงการ EDM ของอังกฤษเลยก็ว่าได้ เพราะคู่นี้ไม่เคยที่จะหยุดนำหน้าวงอื่นๆอยู่เสมอ..เริ่มด้วยพาแฟนเพลงจาก"Pop-Dance"..ไปสู่ "Disco"..จากนั้นไปต่อที่ "House"..และนำเทรนด์อังกฤษไปสู่ "Techno" นั้นเอง..ถ้าอยากรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงทำได้ขนาดนี้นั้น..เราลองไปทำความรู้จักพวกเขากันเลยครับ
แรกเริ่ม..รวมตัวของ Pet Shop Boy
Pet Shop Boys (เพตชอปบอยส์) คู่หูขาแดนซ์ในตำนาน จากประเทศอังกฤษ ประกอบด้วย นักร้องนำ นีล เทนแนนต์ และ มือคีย์บอร์ด คริส โลว์ เค้าทั้งสองคนได้ร่วมกันก่อตั้งวง Pet Shop Boys ตั้งแต่ปี 1981 จนถึงปัจจุบัน (รวมแล้วก็ 30กว่าปี) ในตอนนี้อัลบั้มที่เขาได้ทำด้วยกัน ก็ปาเข้าไป 12 อัลบั้มแล้ว ซึ่งอัลบั้มล่าสุดของเขาคือ "Electric" ซึ่งออกมาในปี 2013
Pet Shop Boys ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเพราะ การพบกันของทั้งสองคน ที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่งบนถนนคิง ซึ่งทั้งสองได้เริ่มคุยกัน จึงทำให้รู้ว่าทั้งเขาสองคนมีแนวเพลงที่ชอบเหมือนกัน และหลังจากนั้นไม่นาน เค้าทั้งสองคนจึงได้คิดจะก่อตั้งวงดนตรีขึ้นมา ซึ่งในขณะนั้นนีล เทนแนนต์ มีอายุ 27 ปี ทำงานอยู่กับบริษัทมาร์เวล เป็นบรรณาธิการ ส่วน คริส โลว์ อายุ22ปี เพราะเขาทั้งสอง มีเพื่อน ๆ ทำงานร้านขายสัตว์เลี้ยง จึงทำให้ได้ชื่อวงว่า Pet Shop Boys
เส้นทาง..ที่ยังไม่ได้ปูพรม
นอกจากนี้ชื่อ Pet Shop Boys ยังตั้งขึ้นเพื่อให้เข้ากับกระแสเพลงฮิพฮ็อปของนิวยอร์คช่วงต้นยุค 80 ที่มักจะตั้งชื่อวงออกมาประมาณนี้กันส่วนใหญ่ Pet Shop Boys ได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ในปี 1983 เมื่อนีล เทนแนนต์ ได้พบกับ Bobby Orlando (บ็อบบี้ ออร์แลนโด้) ซึ่งเขาก็คือโปรดิวเซอร์ชื่อดังในขณะนั้น จึงได้ชวนให้บ็อบบี้ มาโปรดิวเพลงของวงให้ ทำให้ได้เพลง West End Girls ออกมาเป็นซิงเกิ้ลแรก ในปี 1984 พอจะฮิตบ้างเล็กน้อยในสหรัฐกับฝรั่งเศส แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่าที่อังกฤษ จึงทำให้ Pet Shop Boys ยังไม่เป็นที่รู้จัก
ความสำเร็จแรก..ของวง
ต่อมาใน ปี 1985 Pet Shop Boys ได้มีโอกาสเซ็นสัญญากับ EMI ทั้งคู่ออกเพลงเสียดสีอย่าง Opportunities (Let's Make Lots Of Money) ออกมา แต่ก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จัก ทำให้อนาคตของศิลปินคู่นี้ดูมืดมนพิลึก จนเกือบจะไม่มีวง Pet Shop Boys แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อ Pet Shop Boys นำ West End Girls มาออกขายใหม่ โดนการทำใหม่ โดยให้ สตีเฟ่น เฮ้ก มาโปรดิวซ์ให้ West End Girls ขึ้นถึงอันดับ 1 ไปทั่วโลก รวมทั้ง Opportunities ที่นำมาออกใหม่ฮิตอีกเหมือนกัน ความสำเร็จในครั้งนี้มีส่วนผลักดันให้อัลบั้มแรก Please ขึ้นไปถึง Top 10 ในปี 1986
Pet Shop Boys กับเพลง West End Girls ที่ทำให้ชื่อเสียงของดูโอคู่นี้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก
เพิ่มความเป็นวงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ที่มากขึ้น
ต่อมาในปี 1988 ทั้งสองได้ลงลึกไปที่แนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น จะเห็นได้จากเพลง "Domino Dancing" และ "Left to My Own Devices" ที่พวกเขาตั้งใจทำเป็นอย่างมาก และส่งผลให้ทั้งสองเพลงติด TopTenของ อังกฤษ ในปีนั้นด้วย จากนั้นพวกเขาเพิ่มแนวคิดที่ว่า จะออกไปแจมกับวงดนตรีและศิลปินอื่นๆ ทำให้มิติของ Pet Shop Boys ได้เพิ่มมากขึ้น โดยที่เห็นได้ชัดคือการร่วม Featuring กับวง Electronic และออกเพลง Getting Away With It ซึ่งเป็นเพลงที่โดนใจแฟนดนตรีอังกฤษในช่วงนั้นมากๆ
เพลง Left to My Own Devices ของ Pet Shop Boys กับจินตการด้านเทคโนโลยีและดนตรีอิเล็กทรอนิก ในยุค80
Pet Shop Boys กับการบุกตลาดอเมริกา
ด้วยการที่ทั้งสองชอบที่จะพัฒนาแนวเพลงใหม่ๆอย่างไม่หยุดยั้ง 3ปีถัดมาจากอัลบั้มก่อน พวกเขาตัดสินใจใส่ จังหวะละติน(Latin rhythms)ลงไป..ซึ่งถือว่าทำได้ดีในยุคปลาย 90 ที่ช่วงนั้น ชาวอเมริกันเชื้อสายลาติน..กลายเป็นมีอิทธิพลต่อประเทศอเมริกามากขึ้น แถมเพลง "New York City Boy" ก็สามารถไปได้ดีในคลับอีกด้วย
เพลง New York City Boy ของ Pet Shop Boys สามารถเจาะตลาดอเมริกาได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ในรอบหลายปี
กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพล ในวงการดนตรีอิเล็กทรอนิกส์
หลังจากนั้น Pet Shop Boysเค้าก็ได้ทำผลงานออกมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน และเราจะสังเกตุได้ว่า Pet Shop Boys จะตั้งชื่ออัลบั้มเป็นคำๆ เดียวเสมอ อาทิ ''Yes'' (2009), ''Disco'' (1986), ''Actually'' (1987), ''Release'' (2002) เป็นต้น หลายๆ คนคิดว่า มันคงมีเหตุผลดีๆ สักอย่างอยู่เบื้องหลัง แต่ความจริงมันธรรมดามาก เพียงแค่ นีล เทนแนนท์ อยากทำให้มันเป็นธีมของพวกเขาทั้งคู่ ก็เป็นได้ครับ
เพลง Did you see me coming ในอัลบั้ม Yes(2009) เป็นอีกเพลงที่ทำให้เห็นว่า พวกเขาไม่เคยหยุดพัฒนาเลย
ขอส่งท้ายด้วยเพลง Axisในอัลบั้ม Electric ที่ปล่อยเมื่อปี 2013 (จะเห็นว่าดนตรีอิเล็กทรอนิกส์นั้น..มันเดินทางไปได้อย่างไม่จำกัดเลยจริงๆ...ถึงแม้ว่า วง Pet Shop Boysจะเก่าขนาดไหนก็ตาม..แต่พวกเขาก็สามารถ สร้างสิ่งใหม่ๆได้เสมอครับ )
** ข้อมูลจาก Mtv .com/artists และ Biography .com เรียบเรียงโดย มิ้งฟา **
- Photo Credit - some-new-romantic.tumblr .com