Kraftwerk วงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แนว Robotic รุ่นแรกของโลก!!
การสวมบทบาทหุ่นยนต์ของ Kraftwerk นั้น เป็นเหมือนการเน้นย้ำถึงความเป็น ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับกระแสนิยมซินธิไซเซอร์ ในช่วงกลางยุค 70s…และวงเยอรมันกลุ่มนี้ ได้คิดค้น “ภาพ และ เสียง” แห่งจักรกลมนุษย์” (Manmachine sound and image)ขึ้นมาอีกด้วย และทำให้ในช่วงเวลานั้น Kraftwerk ได้วางรากฐานและเป็นต้นแบบให้ศิลปินอิเล็กทรอนิกส์ยุคหลังๆ มานานนับทศวรรษ!! ศิลปินโดดเด่นที่รับอิทธิพลมากจาก Kraftwerk โดยตรงนั้นคือ Daftpunk นั้นเอง!!
หมุนเวลากลับไปตั้งแต่ยุค “Sixty”
ในยุคนั้นแนวดนตรีและวัฒนธรรมแนวใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย นับตั้งแต่ British New Romantic (กระแส Pop Culture บูมจากไนท์คลับตั้งแต่ปลาย 70s ถึงต้น 80s ทั้งแนวเพลงและเสื้อผ้าการแต่งตัว หลายคนจะเรียกพวกนี้ว่า Blitz Kids หรือ อารมณ์ประมาณเด็ก “แนว”นั้นเอง) และต่อมากลายมาสู่ยุค Hip-Hop จนไปถึง Techno และกลุ่ม Kraftwerk นั้นขอให้นิยามตัวเองว่า “ Robot Pop”(ชื่อน่ารักแฮะ) เห็นชื่อเก๋ๆ เรียบๆแบบนี้ แต่ขอบอกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะแฝงไปด้วยสไตล์ Hypnotically Minimal (จังหวะ House สั้นๆวนซ้ำแบบการสะกดจิต) และ การเพอร์ฟอร์มที่เน้น ความเป็นอิเล็กทรอนิกส์เพียวๆ.. ช่วงนั้น ใครปล่อยพัฒนาการดนตรีรูปแบบใหม่ออกมา ก็สามารถติดกระแสนิยมอย่างรวดเร็ว ตามสไตล์ของ ป๊อบร่วมสมัย ในช่วงปลายศตวรรษ 20th (ยุคทเวนตี้เซนจูรี่บอยนั้นเอง) และวงนี้ก็อยู่ในฐานะ ผู้บุกเบิก ของวงอิเล็กทรอนิกส์มิวสิก แถมความทรงอิทธิพลของวงนี้ ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย!! ความเป็น Kraftwerk นั้น ก่อตัวขึ้นมาจาก กลุ่มผู้รักในดนตรีเชิงทดลอง ในช่วงปลายยุค 60s(เก๋ากึก!) กลุ่มดิจิตอลยุคคุณปู่นี้ยังผลิตวงดังๆอย่าง Can และ Tangerine Dream อีกด้วย!!
British New Romantic ทั้งดนตรี แฟชั่นและเสื้อผ้า เรียกคนที่คลั่งแนวพวกนี้ว่า Blitz Kids
เจอกันครั้งแรก
เริ่มต้นที่ปี 1970 คุณปู่ Ralf Hütter และ คุณปู่ Florian Schneider-Esleben โดยสมัยยังหนุ่มนั้น ทั้งคู่เลือกเรียนเอกดนตรี คลาสสิค ณ โรงเรียนดนตรี Dusseldorf Conservatory ประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นที่ที่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรก และในปีนั้นเอง ทั้งสองได้ทำผลิตผลงานแรกออกมาในชื่อ Tone Float หลังจากนั้นเริ่มฟอร์มวงของตัวเองขึ้น โดยการเดบิวครั้งแรกนั้น จะโดดไปแจมกับวงที่ชื่อว่า “ Organisation” ซึ่งเป็นคณะที่มีรูปแบบเป็น Psychedelic Kraut-Rock (การใช้เครื่องดนตรีที่แตกต่างมาผสมในแนวหลัก เช่น นำดนตรีพื้นบ้านมาผสม อันนี้เรียกว่า Psychedelic และสำหรับ Krautrock นั้นหมายถึงแนวร๊อกผสมดนตรีอิเล็กทรอนิกส์นั้นเอง) หลังจากร่วมทางกันได้สักพัก Hütter และ Schneider ก็ขอแยกตัวออกมาจากวงนั้น และครั้งนั้นเอง Kraftwerk จึงถือกำเนิดขึ้น (โดยคำนี้มาจากภาษาเยอรมันแปลว่า “แหล่งผลิตพลังงาน”) และไม่รอช้า ทั้งสองทำดนตรีแนวทดลองที่ถนัดกันทันที โดยเริ่มจากเทคนิคอัดซาวด์จากเครื่องจักร และเสียงช่างกลกำลังทำงานจริง มาผสมลงไปในดนตรีของพวกเขา..แรกเริ่มวงมีการปรับเปลี่ยนสมาชิกกันอยู่ตลอด Wraftwerk จึงย้อนกลับมายืนพื้นเป็นวงดูโอ้กันก่อนในช่วงแรก
Ralf Hütter(ขวา) Florian Schneider-Esleben(ซ้าย)
และแล้ว Kraftwerk ก็เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
ดนตรีร็อคเชิงทดลอง แบบไม่ยึดติดแนวใดๆ ถือเป็นจุดขายของ 3อัลบั้มแรก ใช้อุปกรณ์ดนตรีทั้ง กีต้าร์..เบส..กลอง.. อิเล็กทรอนิกส์ ออแกน..ฟลุ๊ท..และไวโอลิน แถมการทำ Post Production ตอนนั้นการเสียงที่เรคคอร์ดนั้น มักจะถูกยืด..ถูกบิด จากการบันทึกด้วยเทปอีกด้วย ช่วงสองอัลบั้มแรก จึงเน้นที่เล่นสดกับเครื่องดนตรีเพียวๆ จากนั้นอัลบั้มที่สามจึงเติม อิเล็กทรอนิก ดรัมแมชชีนเข้าไป บวกกับเน้นของเดิมอย่าง อิเล็กทรอนิก ออแกน ทำให้ออกมาล้ำมากๆ(ในช่วงนั้น) งานแสดงของทั้งสองจะอยู่ในเยอรมันเป็นหลัก มีไปเดินสายที่ฝรั่งเศสบ้าง และหลังจากที่วงเริ่มเข้าฟอร์มแล้ว พวกเขาจึงได้เพิ่มสมาชิกมาอีกสองหน่ออย่าง Klaus Roeder และ Wolfgang Flür
บุกโจมตี ตลาดอเมริกา
หลังจากลุยตลาดอินเตอร์แล้ว แทนที่จะดังแค่ในโซนยุโรป Wraftwerk กลับทำได้ดีในตลาดอเมริกาด้วย..เห็นได้ชัดจากความสำเร็จอย่างรวดเร็วอย่างอัลบั้ม Autobahn ที่ปล่อยสู่ตลาดอเมริกา และยังสามารถไต่สู่อันดับ 5 ของชาร์ท US ได้อีกด้วย!! เพลงที่ว่านี้เป็นเวอร์ชั่นดัดแปลงให้เหลือ 9 นาที จากเดิมที่เป็นเพลงเฮาส์ แนว Minimal ที่มีความยาวถึง 22นาทีเลยทีเดียว!! ความเก๋าของ Wraftwerk ยังเป็นต้นแบบให้ David Bowie อีกด้วย.. หลังจากความสำเร็จของเพลงแรก วงก็ปล่อยเพลง LP(Long-Play) แบบฟังกันยาวๆ อีกสองเพลงคือ Showroom Dummies และ Trans-Europe Express ด้วยคอนเซ็ปต์ “ไร้ชีวิต” และทั้งสองเพลงนั้นก็กลายเป็นเพลงดิสโก้ฮิตติดชาร์ท ในช่วงปลายยุค 70s และในช่วงนั้นเองภาพลักษณ์ของวงชัดเจนมากขึ้น โดยตอนทัวร์คอนเสิร์ต ในประเทศอเมริกาของพวกเขานั้น จะเน้นที่เล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และแปลงร่างเป็นหุ่นยนต์(ออกไปทางหุ่นลองเสื้อ)ซึ่งเท่มากช่วงหลังๆ เวลาแสดง คอนเสิร์ต สมาชิกในวงส่งหุ่นยนต์จริงๆขึ้นไปเล่นแทนในขณะที่พวกเขานั่งจิบน้ำชาอยู่ในห้องสตูดิโอ!!
หุ่นยนต์ที่วง Kraftwerk ใช้แทนคนจริง ในการแสดงคอนเสิร์ต โดยพวกเขาจะนั่งควบคุมซาวด์ที่ห้องสตูดิโอ
เพลง Autobahn เวอร์ชั่นดัดแปลง ให้เหลือ 9นาทีกว่าๆ จากเวอร์ชั่นเต็ม 22 นาที(ว่างๆลองไปหาเวอร์ชั่นเต็มมาเสพดูครับ)
ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
ในช่วงปีถัดมา ดูเหมือนว่า “มนุษย์จักรกล” ของ Kraftwerk จะเริ่มเข้าถึงคนฟังได้ยากแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจ จำศีลเก็บตัวซุ่มทำงานเพลงนานถึง 3ปี จนมาถึงปี 1981ได้คลอดผลงานแนว Pop-Oriented อย่าง Computer World เพลงนี้สามารถอยู่ติดชาร์ทนานถึง 42 อาทิตย์ และอีกเพลง The Model ที่ติดอันดับ 1#ในชาร์ทของ UK นอกจากสองเพลงข้างต้นแล้วเพลงดังจากอดีตอย่าง Trans-Europe Express ก็สามารถวิวัฒนาการตามยุคสมัยโดยการผสมท่อน แร๊พลงไปในเมโลดี้เดิมได้อย่างลงตัว
เพลง Computer World เพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม ที่นับได้ว่าเป็นอัลบั้มที่ 8 ของ Kraftwerk ยอดขายทะลุ 60,000 ก๊อปปี้ในช่วงนั้น
Trans-Europe Express(MV) เป็นอีกเพลงที่ทำให้ชื่อเสียงของวงนี้ดังมากๆ ที่อเมริกา เพราะเพลงมีกลิ่นไอของHip-Hop เข้ามาด้วย
วงรุ่นเก๋าที่ไม่มีวันเก่า!!
ต้องขอบคุณในกระแสท่วมท้น ของดนตรี Techno..Ambient..และ ดนตรี Electronic เชิงทดลอง ที่บูมในช่วงนั้น..ทำให้เหล่าเกิดกลุ่มแฟนคลับหน้าใหม่ของ Kraftwerk มากขึ้น และวงก็ดังถึงขนาดขึ้นเป็นวงหลักของ Tribal Gathering คอนเสิร์ตครั้งใหญ่ยักษ์ของอังกฤษในปี 1997 จากนั้นก็มีทั้งเฟสติเวลใหญ่... คอนเสิร์ต...และไลฟ์โชว์อย่างต่อเนื่อง และที่ทำให้ Kraftwerk ภูมิใจที่สุดคือการได้รับเกียรติ ทำเพลง Theme ในงาน Expo2000 ซึ่งถือเป็นอีเวนท์ใหญ่ที่สุดของประเทศเยอรมันเท่าที่มีมาในยุคนั้น จากนั้นจนถึงปัจจุบันก็มีเฟสติเวลใหญ่ๆให้วงได้เดินสายอยู่ตลอดทั้ง Ultra Music Festival ทั้ง 3-D concert ที่โชว์แบบอลังการสุดๆใน Walt Disney Concert Hall ที่รัฐ Los Angeles และ คอนเสิร์ตแบบสามมิติยังจัดต่อแบบ 3วัน3คืนที่ Stockholm ประเทศ Sweden และวงยังมีงานแสดงอีกมากเรื่อยมา
งานแฟร์ Expo2000 ประเทศเยอรมัน ในพื้นที่ของ Hanover fairground (แต่ดูเหมือนว่าอีเวนท์ใหญ่ยักษ์นี้ผู้จัดจะขาดทุนซะงั้น)
** ขอแถมท้ายด้วยสองเพลงจาก Kraftwerk..ที่อาจทำให้ใครหลายคนประหลาดใจว่า ทำไมเพลงยุค 70ของพวกเขาถึงฟังดูไม่เชยเลยแม้แต่น้อย!! **
The Man-Machine เพลงที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุด ของดนตรีร็อคยุค 70 และติดอยู่ในท๊อป 75# ของอังกฤษด้วย
Tour de France ทะยานสู่อันดับที่ 22 ของชาร์ทUK เป็นเพลงที่น่าสนใจ ในการพยายามใช้จังหวะ Cycling แบบการปั่นจักรยานมาผสมกับเครื่องเครื่องจักรและดนตรีแนวเคาะอย่าง Percussion ที่ไม่ลืมบวกอิเล็กทรอนิกสไตล์ลงไปด้วย
ข้อมูลจาก Allmusic.com และ Rollingstone.com เรียบเรียงโดย Choco Beat