top of page

ว่ากันด้วยเรื่องของสองชาย..ก่อนจะกลายเป็นหุ่นยนต์!!


จากครั้งที่แล้วผมเคยนำเสนอ วิวัฒนาการหน้ากากของ Daft Punk ไปนั้น น่าจะทำให้เพื่อนๆเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของโรบอทคู่นี้ได้เป็นอย่างดี..และถ้าใครชอบเพลงของ Daft Punk หรือคลั่งไคล้ในตัวของทั้งสองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว..วันนี้เราลองมาดูถึงความเป็นตัวตนภายใต้หน้ากากของพวกเขากันครับ..ผมบอกไว้เลยว่าถ้าเราทราบถึงวัตถุดิบที่ Daft Punkใช้ปรุงในงานเพลงพวกนั้นแล้ว..เราจะเสพเพลงพวกเขาได้อร่อยขึ้นแน่ๆครับ!!

ด้วยความล้ำของบทเพลง Modern Disco ของทั้งสอง..บวกความงดงามของดนตรีหลากหลายแนว อาทิ House..Funk..Electro.. และTechno.. ทำให้คู่หูโปรดิวเซอร์คู่นี้..ถูกกล่าวขานให้เป็น นักทำเพลง Electronic ที่เก่งกาจที่สุดในยุค 1990s และ 2000s!!.. สองหนุ่ม Guy Manuel De Homen-Christo และ Thomas Bangalter สวมใส่ ชุดสูทหุ่นยนต์ พื้นผิวประกายแวววาวในทุกไลฟ์โชว์ของพวกเขา(กับความจริงที่ว่าช่างกล้องทั้งหลายจะได้ถ่ายหรือสัมภาษณ์ได้ เฉพาะในชุดหุ่นยนต์เท่านั้น) …แม้ภาพที่สือออกไปจะเป็น “แนวโรบอตแห่งโลกอนาคต” แต่ใช่ว่าทุกเพลงจะต้องล้ำไปไกลเกินคนฟัง..Daft Punk ยังทำเพลงได้มหัศจรรย์และเข้าถึงผู้ฟังได้มากกว่าที่ใครๆคิด...แรงบรรดาลใจของพวกเขาคือ Rockband อย่าง AC/DC วงร๊อกที่ใส่ Classic Disco ลงไปด้วย!!..บทความนี้เราจะเล่าถึง เส้นทางของ Daft Punk ตั้งแต่จุดกำเนิดและบุคคลภายใต้หน้ากากที่พวกเขาเป็น แล้วคุณจะเข้าใจว่า..มันไม่มีความฉาบฉวยเลยในเพลง อิเล็กทรอนิกส์ มิวสิกของพวกเขา!!

AC/DC วงฮาร์ดร๊อกรุ่นใหญ่จาก ออสเตรเลียวงที่เล่นทั้ง Blue Rock และ Rock n’ Roll แถมมีหลายคนว่ากันว่า วงนี้เป็นผู้ให้กำเนิด Heavy Metalด้วย

ย้อนไปครั้งแรกที่สองหนุ่มเจอกัน

เชื่อมั้ยว่าทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว..ถ้าลองหมุนเวลากลับไปในปี 1987 ณ ประเทศฝรั่งเศส ทั้งคู่รู้จักกันในสมัย ที่ยังเป็นแค่เด็กวัยเกรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเท่านั้น..โดยเพื่อนรักคู่นี้ Guy Manuel และ Thomas Bangalter เริ่มฟอร์มวงร๊อกกันก่อน (อารมณ์ Suckseed บ้านเรา) พร้อมตั้งชื่อวงน่ารักๆว่า Darlin’ และยังได้ Laurent Brancowitz มือกลองที่เจ๋งที่สุดในโรงเรียน Lycée Carnot ที่พวกเขาเรียนอยู่ มาร่วมวงด้วย พร้อมเปิดตัวด้วย การ Cover เพลงของวงร๊อกรุ่นเก๋า(ยุคคุณลุง) The Beach boys..ซึ่งที่มาของชื่อวง Darlin’ ก็เป็นชื่อเพลงของเดอะบีชบอยด้วยเช่นกัน แต่ขอบอกว่าสามหนุ่มนี้ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะครับ เพราะในช่วงนั้นค่ายเพลงอินดี้ Duophonic Records จากลอดดอน มาเปิดตัววง Stereolab โดยจีบให้วง Darlin’ของพวกเขาเล่นเป็นวงเปิดคอนเสิร์ต ในประเทศอังกฤษเชียวนะ!! ถึงจะเริ่มไปวัดไปวากับเขาแต่ Thomas ก็ยังกล่าวว่า “ จังหวะร๊อกแอนด์โรล์ที่พวกเราเล่นนั้นมันออกจะธรรมดาไปซะหน่อย..มันยังไม่นิ่งเลย ผมว่านะ..พวกเราต้องขยันมากๆบางที่ เราอาจจะต้องทำเพลงให้ได้ถึง 4 เพลงและพร้อมมีงานเล่นไลฟ์ประจำซักสองงานในหกเดือน”.. ในขณะที่วงของพวกเขายังคงเดินสายกันไปเรื่อยๆนั้น อยู่ๆก็มีเรื่องตลกร้ายเข้ามา..นั้นก็คือ มีคอมเมนท์เตเตอร์จาก Melody Maker มาให้รีวิวแบบแย่ๆเชิงประชดประชันในเพลงของพวกเขาว่า “นี่มันเต็มไปด้วยพั๊งก์เรื้อนๆ”(a bunch of daft punk) และคำนั้นเองจุดประกายให้พวกเขานำมาใช้เป็นชื่อในโปรเจคต่อมานั้นเอง(55)..จากนั้นไม่นานDarlin’ วงยุบวง และปล่อยให้ Laurent Brancowitz สมาชิกคนที่สามของวงไปสานฝันต่อกับวงร๊อกเลือดฝรั่งเศสอย่าง Phoenix ซึ่งวงนี้ปัจจุบันยังคงดังอยู่เช่นกัน..ส่วน Guy-Manuel กับ Thomas นั้น เขาเปลี่ยนมาสนใจและหลงรักของเล่นชิ้นใหม่ นั้นคือ Synthesizer และ Drum Machine นั้นเอง!!

เพลง Darlin2 ของวง Darlin และในเดโม่นี้ยังมีซิงเกิ้ล Cindy,So Loud ซึ่งลองไปหาฟังกันได้ในยูทูปดูครับ

The Beach Boys วงดนตรีร๊อกจาก California อเมริกา เป็นวงสไตล์ญาติพี่น้อง

จากพั๊งก์ร๊อก..สู่เฮาส์มิวสิก!!

Thomas และ Guy-Manuel ต่างตกหลุมรักเข้าอย่างจังกับ House Music โดยในปี 1993 ได้งานในโซนจัด แดนซ์ปาร์ตี้ ของ EuroDisney และที่นั้นเองเขาได้พบกับ Stuart Macmillanโปรดิวเซอร์เจ้าของค่ายดังอย่าง Soma Quality เข้าและทั้งคู่ ส่งเพลงเดโมที่ทั้งสองสุ่มทำมานานอย่าง The New Wave ให้เฮีย Macmillan ได้ฟังซึ่งในรีมิกซ์นั้นเองมีเพลง Alive ซึ่งเป็นเพลงในตำนานของ Daft Punk รวมอยู่ด้วย!!

แม้เงิน..ก็ไม่สามารถบงการ Daft Punk ได้

ในปี 1995 พวกเขากลับเข้ามาทำงานอย่างจริงจังในสตูดิโอทำเพลงอีกครั้ง..และคราวนี้สองหนุ่มคลอดเพลงที่เป็นทางการของพวกเขาเพลงแรกคือ Da Funk ซึ่งขอบอกว่า พวกเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกับเพลงนี้ โดยมียอดขายถึง 30,000 ก๊อปปี้..แถม Chemical Brothers ยังเอาเพลงนี้ไปเป็นเพลงหากินใน ดีเจเซท ของวงด้วย!!..และแล้วก็ถึงเวลาเหมาะสมที่จะโปรโมทกันล่ะ..โดยทั้งคู่โชคดีที่ได้มาเจอกับสุดยอด Manager อย่าง Pedro Winter และเพียงไม่นาน Daft Punk ก็โผบินมาอยู่ในอ้อมอกของค่าย Virgin Records ในปี1996..ซึ่งทางค่ายนี้มาด้วยเสนอพิเศษที่ทั้งคู่ปฏิเสธกันลำบาก นั้นเพราะพวกเขาจะได้เซ็นสัญญาพร้อมควบคุมสตูดิโอของตัวเองในนาม Daft Trax!! ..ตอนนั้น Thomas กล่าวว่า “ หลายค่ายยืนข้อเสนอต่างๆให้เรา..แต่เราตัดสินใจที่จะรอ! นั้นเพราะเราไม่อยากจะเสียการควบคุมในเพลงของพวกเราไป..ย้อนไปตอนนั้นเราบอกปัดค่ายอื่นๆไปเยอะเหมือนกัน เพราะเราไม่ได้มองแค่เงินเท่านั้น เรามองค่ายที่มอบอิสระให้เรา และนั้นคือสาเหตุที่เราเลือก Virgin เป็นพาร์ทเนอร์ด้วย”

Da Funk เพลงเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Daft Punk เพลงนี้ถูกใส่ลงในอัลบั้ม Homework ด้วย

ทีมงาน Daft Trax ซึ่งมีทั้ง Guy Manuel.. Thomas Bangalter และคุณผู้จัดการ Pedro Winter

Daft Punk ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ!!

และแล้วอัลบั้ม Homework ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกก็เกิดขึ้น (ใส่เพลง Alive และ Dafunk ลงไปด้วย) โดยทั้งคู่ต้องการทำเพลง Dance Music ให้มากกว่า แค่เพลงที่พวกวัยรุ่นกระโดดเต้นกันมันส์อย่างบ้าคลั่ง!!..คือพวกเขาต้องการให้มันล้ำมากกว่านั้น!! และด้วยแนวคิดนี้เองเพลง Around The World จึงเกิดขึ้น นิตยสาร EDM ดังๆอย่าง Muzik ยังกล่าวว่า “ นี่มันคือหนึ่งในอัลบั้ม ที่เดบิวได้อย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา” แถมที่เจ๋งไปกว่านั้นยังได้ผู้กำกับภาพยนต์ดังๆมาทำมิวสิกวีดีโอให้อีกตั้งหากมีทั้ง Spike Jonze(Her 2013).. Michel Gondry (The Green Hornet 2011)…Roman Coppola..และ Seb Janiak

Daft Punk : Around The World เพลงจากอัลบั้ม Homework ติดอันดับหนึ่งDance Chart และตามClub ต่างๆในช่วงเวลานั้น

ตำนานบทใหม่ ที่ว่ากันด้วย Synth-Pop ล้วนๆ

อัลบั้มสองได้เปิดตัวถัดมานั้น.. ถือว่าทั้งคู่แก้เกมส์สำหรับ การทำอัลบั้มต่อเนื่องได้ดีมากๆ ซึ่งแตกต่างจากอัลบั้มแรกอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญคือยังคงความเป็น Daft Punk ได้อย่างเนียนๆอีกด้วย!!.. กับอัลบั้ม Discovery ที่ว่านี้จะอบอวลไปด้วย Synth Pop แบบนุ่มๆ และแฝงไปด้วย อาร์แอนด์บี งามๆ..เฮาส์ สไตล์กวนๆ..เสียง Synth อันเจิสจรัส..เสียง Noise ..เสียง Sitars (เครื่องสายอินเดีย) และ เสียงป๊อบเมโลดี้เก๋ๆ ของนักร้องผิวสี Romanthony ผู้ซึ่งช่วยให้เพลง One More Time ออกมามีเสียงร้องได้ฟรุ้งฟริ้งมากๆ (ด้วย Auto-Tuned) เพลงนี้ทะยานขึ้นอันดับหนึ่งของ Dance Play ชาร์ทอย่างรวดเร็ว มิวสิกวีดีโอยังเจ๋งมากๆ เพราะเป็นเนื้อเรื่องจากการ์ตูน Interstella 5555 (ตัวเลขไม่ใช่เสียงหัวเราะนะครับ แต่ ย่อมาจาก The 5tory of the 5ecret 5tar 5ystem..) แถมผู้สร้างการ์ตูนอย่าง เลอิจิ มัทสึโมโต้ ยังเป็นฮีโร่ในอดีต ของพวกเขาทั้งสองด้วย!!

Daft Punk : One More Time เพลงในอัลบั้ม Discovery ขึ้นสู่อันดับ 2 ใน UK Singles Chart ในปี 2000 และติด Top100 ของ Billboard Chart ด้วย

ทั้ง Guy Manuel และ Thomas Bangalter และทีมงานจากค่าย Virgin ต่างร่วมฉลองความสำเร็จของ อัลบั้ม Discovery

เข้าสู่ยุค..หุ่นยนต์อย่างเต็มตัว

ตั้งแต่ 2004 จนถึงปัจจุบันเราจะได้เห็น Daft Punk ในลุกของดูโอ้หุ่นยนต์ (ตามที่ผมเคยนำเสนอวิวัฒนาการของหน้ากากไปในโพสท์ก่อนๆ) โดยเริ่มจากอัลบั้มนี้จะเน้นในความเป็นโรบอทมากๆ และคาแรคเตอร์นี้ยังสามารถสื่อถึงตัวตนของ Daft Punk ได้มากขึ้นด้วย!! อย่างอัลบั้ม Human After All ก็ใส่เสียง Synthesizer และเสียงดิจิตอลที่ทำให้กลิ่นของอิเล็กทรอนิกมิวสิกออกมาได้อย่างเต็มที่..และยังคงความเป็นไลฟ์ร๊อก ในมิวสิกวีดีโอของพวกเขา คุณจะเห็นหุ่นยนต์สองตัวถือกีตาร์สองคอ พร้อมตีกลองอย่างเมามันส์(ในบรรยากาศมาคุ 55)

Daft Punk : Robot Rock เพลงในอัลบั้ม Human After All เป็นแนว Electronic Rock เจ๋งๆที่เต็มไปด้วยเสียง Synthesizer Riff

ความสำเร็จที่มาพร้อมผลรางวัล

ถัดมาปี 2006 เน้นในโรโบติกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไหนๆทั้งสองก็ขึ้นชื่อเรื่องทำหนังทำมิวสิกภาพยนต์อยู่แล้ว ก็เลยออกหนังสั้น(กึ่งยาว)เรื่อง Daft Punk's Electroma ซะเลย!!แถมยังได้ฉายในเทศกาลเมืองคานส์อีกตั้งหาก...ถัดมาปี 2008 ก็เนื้อหอมจากอิทธิพลหนังเรื่องก่อน คราวนี้ได้ทั้งปรากฏตัวและร่วมแจมใน Tron : Legacy ซึ่งทั้งสองทำออกมาได้น่าประทับใจ(กว่าตัวหนังซะอีก) นอกจากนั้นคาแรกเตอร์ของทั้งคู่ยังโผล่ในเกมของเครื่องคอนโซล DJ Hero อีกด้วยครับ!!..จากนั้น Daft Punk ก็สร้างผลงานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งความเก่งกาจของทั้งคู่นั้นคงไม่ต้องบอกมาก เพราะสามารถคว้ารางวัลมาได้ถึง 6 Grammy Award และเข้าชิงในรางวัลเดียวกันนี้ถึง 12ครั้ง นอกจากนั้นมี Billboard Music Award ที่เก็บมาได้อีก 2รางวัล และ Brit Award อีก 1รางวัล (และเข้าชิงทั้ง MTV Europe Music Award .. American Music Award..และTeen Choice Awards)

บทสัมภาษณ์พิเศษ..ถึงสาเหตุของการ “กลายเป็นโรบอท”

ยากนักที่จะมีใครบาลานซ์การเล่นดนตรีให้ “เท่ห์” และ “สนุกสนาน” ได้อย่าง Daft Punkทำ!! ..ทั้ง

Thomas และ Guy-Manuel พูดอย่างภูมิใจเกี่ยวกับ ศิลปะที่พวกพยายามพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และดนตรีที่เป็นเหมือน “การเชิญชวนสู่..เส้นทางแห่งเสียง” ในอีกมุมหนึ่ง หมวกหุ่นยนต์ของพวกเขานั้นออกไปในแนวไซไฟย้อนยุค แบบที่พบได้ในหน้าปกนิยายวิทยาศาสตร์ยุค 80s ของ Isaac Asimov(นักไบโอเคมีผู้ผันตัวมากแต่งนิยายวิทยาศาสตร์).. Thomas Bangalter บรรยายคาแรกเตอร์โรบอทของพวกเขา เป็นคอนเซ็ปต์ที่สูงล้ำและแฝงซึ่งปรัชญา “พวกเราสนใจเรื่องของเส้นแบ่งระหว่าง เรื่องจริงและเรื่องแต่ง...เราจึงสร้างสรรค์ ตัวละครในนิยายเหล่านี้ให้ออกมามีชีวิตอยู่บนโลกภายนอกได้จริงๆ!! ยังไงหล่ะ” หนทางที่จะห่อหุ้มดนตรีของ Daft Punk ให้อยู่ภายในคาแรคเตอร์ ที่เป็นตัวแทนวัฒนธรรมป๊อบอันฉูดฉาด.. อาทิ วง Kraftwerk..วง Kiss.. Ziggy Stardust (อีกร่างหนึ่งของ David Bowie)..หลายคนเข้าใจว่าหมวกหุ่นยนต์สองใบนี้เป็นเรื่องของการตลาดและทำเพื่อโปรโมทตัวเองเท่านั้น..แต่สำหรับเรามันคือ ที่สุดของไซ-ไฟ!!)

Guy-Manuel กล่าวว่า “พวกเราสองคนไม่ใช่นักแสดง และไม่ใช่นายแบบ..ซึ่งมันคงไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ที่คนทั่วๆไปจะมองเรา แต่โรบอทสามารถสร้างความตื่นเต้นให้พวกเขาได้!!” จากนั้น Thomas กล่าวปิดท้ายว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับการอยู่ภายใต้หน้ากากใบนี้..นั้นคือการที่ผมไม่ชอบให้ใครเดินเข้ามาหาผมและย้ำเตือนผมว่าผมทำอะไรลงไปบ้าง..บางทีการที่สามารถเป็นผู้ถูกลืมได้มันก็ดีเหมือนกันนะ (เขาหัวเราะปิดท้าย)”

Kraftwerk วงอิเล็กทรอนิกมิวสิกเก่าแก่ของ เยอรมัน ฟอร์มวงตั้งแต่ 1970

Kiss วงอเมริกันฮาร์ดร๊อก จาก Newyork การแต่งหน้าและเครื่องแต่งกายของพวกเขาทำให้ผู้คนทั้งโลกจดจำวงนี้ได้เป็นอย่างดี

Ziggy Stardust คาแรคเตอร์สุดล้ำ ที่ David Bowie สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการแสดงดนตรีของเขา

Credit-2-Rollingstone.com

-Billboard.com

-Rfimusic.com

-Aceshowbiz.com

Featured Posts
Recent Posts
Archive
Search By Tags
Follow Us
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
bottom of page