มาทำความรู้จักกับ สายส่งสัญญาณเสียง หรือสายเชื่อมต่อสัญญาณในรูปแบบต่างๆกันดีกว่า
ทุกวันนี้เป็นยุคของเครื่องดนตรีระบบดิจิตอล เราจำเป็นต้องมีความรู้ในการเลือกสายเสียง ไม่ว่าเราจะเป็นดีเจ นักดนตรี หรือโปรดิวเซอร์ที่เล่น Live Performance ก็ตาม เราต้องเคยเจอปัญหาอย่างหนึ่ง นั้นคือเวลาเสียงไม่ออก หรือเครื่องเล่นใดเครื่องเล่นหนึ่งหยุดทำงาน สิ่งที่เราเช็คเป็นลำดับแรกๆนั้นคือ สายเชื่อมต่อ ปัญหาโลกแตกอย่างนี้มักจะทำให้เรารู้สึกเหมือนโดนทุบหัวเวลามันเกิดขึ้น ทั้งๆที่เราควรเอาเวลาไปโฟกัสเฉพาะการแสดงของเราดีกว่า มันไม่ขึ้นอยู่กับว่าระบบเสียงของเราจะสุดยอดแค่ไหน ถ้าเราเสียบสายผิดทุกอย่างก็จบ และนั้นรวมถึงโอกาสในการแสดงของเราก็ต้องจบลงด้วย เพื่อป้องกันความผิดพลาด เราต้องมาทำความเข้าใจสายส่งสัญญาณเสียง หรือสายเชื่อมต่อสัญญาณ อย่างลึกซึ้งกันดีกว่า สิ่งที่เราต้องรู้จักเป็นอย่างแรกนั้นคือสาย...
แจ๊ค (JACK): หรือหัวแจ๊คที่เราเรียกกันนั้นหล่ะครับ เป็นสิ่งที่ทุกคนที่อยู่ในวงการนี้ ควรจะต้องรู้จักกัน ซึ่งหัวแจ๊คนั้นเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ขนาด นั้นคือ ขนาด 3.5 mm และขนาด 6.3 mm (บางครั้งเราเรียกว่าหัว 1/4) นักดนตรี ดีเจ หรือโปรดิวเซอร์ส่วนใหญ่นั้นมักจะได้เจอสายแจ๊คขนาด 6.3mm ซะมากกว่า ซึ่งขนาด 3.5 mm นั้นส่วนใหญ่เราจะเห็นกันในการเชื่อมต่อหูฟังกับอุปกรณ์พกพา ยกตัวอย่าง หูฟังไอโฟน
แจ๊คขนาด 6.3 mm นั้นมาพร้อมกับสัญญาณเสียงแบบ Mono และแบบ Stereo Type เราสามารถบอกความแตกต่างระหว่างหัวแจ๊คนั้นๆได้โดยดูจากวงแหวนสีดำรอบๆหัวแจ๊ค ถ้ามีขีดวงเดียวนั้นคือหัวแบบ Mono ถ้ามีสองวงจะเป็นแบบ Stereo ดูตัวอย่างจากภาพประกอบ
แจ๊คแบบ Mono นั้น จะส่งสัญญาณเสียงในรูปแบบ Single Signal มักจะใช้เชื่อมต่อระหว่าง Amplifiers ต่อไปยัง Passive Speakers (ลำโพงแบบไม่มีไฟเลี้ยง) ส่วนแบบ Stereo นั้นจะส่งสัญญาณแบบ สองทางซึ่งมักจะใช้ในการส่งสัญญาณเสียงซ้ายขวาไปยัง Mixer
หัวแบบ XLR: นั้นส่วนใหญ่ใช้กันในหมู่ โปรดิวเซอร์หรือนักดนตรี ที่ต้องการการส่งสัญญาณเสียงแบบคุณภาพสูง แบบ Balanced Audio ไม่เหมือนกับหัวแจ๊ค หัวแบบ XLR นั้นมาในรูปแบบหัวตัวผู้และหัวตัวเมีย (หัวตัวผู้นั้นจะมี Pin ยื่นออกมา ส่วนตัวเมียจะมีรูหรือช่องเสียบสังเกตจากภาพประกอบ)
การเชื่อมต่อหัว XLR นั้นมักจะใช้ในการเชื่อมต่อกับไมโครโฟน อุปกรณ์ในสตูดิโอ หรือบน PA Mixer อุปกรณ์ดีเจราคาสูง หรือเอาไว้เชื่อมต่อกับลำโพง Active Speaker (ลำโพงที่มีไฟในตัว) แตกต่างจากหัวแจ๊คซึ่งจะส่งสัญญาณเสียงและสัญญาณไฟฟ้า แต่ XLR นั้นจะส่งสัญญาณเสียงมาเพียงอย่างเดียว
หัวแบบ RCA : หรือเราเรียกว่า หัวแบบสีแดงและสีขาว โดยแต่ละสายนั้นจะส่งสัญญาณเสียงเดี่ยว มักจะใช้กับการแบ่งหรือส่งเสียงไปยังลำโพงซ้ายและขวา หัวต่อแบบ RCA นิยมใช้เชื่อมกับเครื่อง Traditional DJ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องเล่นแผ่นไวนิล หรือเครื่องเล่น CD โดยต่อเข้ากับ มิกซ์เซอร์ นอกจากนี้เรายังมักจะเห็นสายแบบ RCA ใช้ต่อระหว่างเครื่อง Mixer กับ Amplifiers หรือ DJ Controller ต่อกับลำโพงแบบ Active Monitorด้วย
ตัวสายเรามักจะเห็นเป็นคู่เสมอแต่บางครั้งก็มาในรูปแบบของสายสามเส้นโดยจะเพิ่มเส้นสีเหลือง (ใช้สำหรับส่งภาพวีดีโอ)เข้ามา หรือบางครั้งเราอาจจะเห็นสายนี้ในรูปแบบ ‘spade’ connection สำหรับป้องกันเสียงฮัมที่เกิดจากการเชื่อมต่อได้
หัวแบบเปลือย (Bare-Wire) : โดยมีรูปเป็นหัวเปลือย ส่วนใหญ่เราจะเห็นหัวแบบนี้ ถูกใช้ในการเชื่อมต่อระหว่าง ระบบ HIFI เครื่องเล่นเสียงหรือชุด PA ราคาทั่วไป ในอุปกรณ์ที่เป็น ระดับมืออาชีพมักจะไม่เห็นหัวแบบนี้
หัวแบบ Speakon: เรามักจะเรียกกันว่าหัวแบบฟ้าดำ หรือ หัวแบบเสียบแล้วหมุน ส่วนใหญ่เรามักจะเห็นหัวแบบนี้ตามชุด PA ราคาสูง มักจะใช้เชื่อมต่อระหว่าง Amplifiers กับลำโพง ซึ่งสายสัญญาณนี้สามารถส่งสัญญาณไฟฟ้ากำลังสูงได้
หัวแบบ DMX: ส่วนใหญ่จะเอาไว้ใช้ในระบบไฟ หรือใช้กับ Controller ที่ควบคุมระบบไฟ ซึ่งหัวจะมีลักษณะคล้ายกับหัวแบบ XLR แต่จะมีคลิป สำหรับเพิ่มความป้องกันในการส่งสัญญาณไฟ ส่วนใหญ่มักจะจำสลับกันอันหนึ่งไว้สำหรับส่งเสียง อีกอันไว้สำหรับส่งสัญญาณไฟ (Lightning Signal)
หัวสุดท้ายที่เราจะพูดถึงกันนั้นคือหัวแบบ USB: ซึ่งย่อมาจาก Universal Serial Bus ส่วนใหญ่ใช้กับอุปกรณ์และการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ เรามักจะเห็นกันบนอุปกรณ์ประเภท MIDI Controller ต่างๆ
CR - Getinthemix